วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เศรษฐกิจฉุดหุ้น

รายงานเศรษฐกิจของสหรัฐเปิดเผยเมื่อวันอังคารชี้ให้ เห็นถึงความตกต่ำของเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 3 ส่งผลให้นักลงทุนพากันเทขายหุ้นกลุ่มบลูชิพอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวลดลง 100.28 จุด หรือลดลง 1.18% มาอยู่ที่ 8,419.49 จุด

ส่วนดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ลดลง 8.47 จุด หรือ 0.97% ปิดตลาดที่ 863.16 จุด ส่วนดัชนีหุ้นนาสแดคลดลง 10.81 จุด หรือ 0.71% มาอยู่ที่ 1,521.54 จุด

บริษัทให้บริการเครดิตการ์ดรายใหญ่คือ บริษัทอเมริกัน เอ็กซ์เพรส และบริษัท CIT ซึ่งเป็นธุรกิจการเงิน ประกาศว่าได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐเป็นเงินกู้จำนวนหนึ่ง จากงบ ประมาณ 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่รัฐบาลออกมาช่วยสถาบันการเงิน แต่การประกาศของ 2 บริษัทไม่ทำให้สถานการณ์การซื้อขายหุ้นของทั้ง 2 บริษัทดีขึ้น จนปิดตลาดหุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรสลดลง 46 เซ็นต์ มาอยู่ที่ 17.96 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น แต่หุ้นของ CIT เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 8 เซ็นต์ มาอยู่ที่ 4.26 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น

มีการรวมกิจการของธุรกิจการเงินคือ พีเอ็นซี ไฟแนนเชียล เซอร์วิส กรุ๊ป กับ เนชั่นแนล ซิตี้ คอร์ป ในเวลาเดียวกันเวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โค ได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นให้รวมกิจการกับวาโชเวีย คอร์ป มูลค่า 11,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ข่าวดังกล่าวทำให้หุ้นของพีเอ็นซีเพิ่มขึ้น 33 เซ็นต์ มาอยู่ที่ 43.01 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น ส่วนหุ้นของเนชั่นแนล ซิตี้เพิ่มขึ้น 4 เซ็นต์ มีราคาอยู่ที่ 1.65 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น หุ้นของเวลส์ ฟาร์โกลดลง 43 เซ็นต์ ปิดตลาดที่ 26.99 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น และวาโชเวียหุ้นลดลง 15 เซ็นต์ ปิดตลาดที่ 5.30 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น

ราคาน้ำมันลดลงอีกครั้ง เนื่องจากตลาดหวั่นว่าภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยในทุก ภูมิภาคจะทำให้ความต้องการน้ำมันทั่วโลกลดลง ปิดตลาดเมื่อวันอังคารน้ำมันดิบไลท์ลดลง 93 เซ็นต์ มีราคาอยู่ที่ 38.98 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล


จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ ปีที่ 10 ฉบับที่ 2447 ประจำวัน พฤหัสบดี ที่ 25 ธันวาคม 2008



บทวิเคราะห์.....

.............จากข่าวทำให้เห็นว่า วิกฤตเศรษฐกิจมีผลกระทบมาต่อตลาดหุ้น สังเกตได้จากดัชนีหุ้นของบริษัทต่างๆ ส่วนใหญ่พากันร่วงลงอย่างถ้วนหน้า บางบริษัทถึงขึ้นต้องรวมกิจการเพื่อความอยู่รอด และยังส่งผลถึงราคาน้ำมันที่จำเป็นต้องลดลงตามไปด้วย เนื่องจากเกรงว่าความต้องการน้ำมันของประเทศต่างๆจะลดลง ตามกระแสภาวะเศรษฐกิจ แต่ก็เป็นผลดีกับผู้ใช้น้ำมัน ที่ไม่ต้องแบกรับภาระค่าน้ำมันที่สูงลิบลิ่ว ในช่วยที่ภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองเช่นนี้ อีกทั้งยังชี้ให้เห็นว่า นักลงทุนยังไม่ค่อยให้ความเชื่อมั่นกับเศรษฐกิจของสหรัฐมากนัก เพราะแม้ว่ารัฐบาลสหรัฐจะให้ความช่วยเหลือสถาบันการเงิน 2 แห่ง ด้วยการให้เงินกู้จำนวนหนึ่ง จากงบประมาณ 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็ยังไม่สามารถทำให้ สถานการณ์การซื้อขายหุ้นของสถาบันการเงินทั้ง 2 แห่งดีขึ้นได้


5 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ31 ธันวาคม 2551 เวลา 15:46

    ในตอนนี้ความตกต่ำของเศรษฐกิจส่งผลให้นักลงทุนพากันเทขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากเศรฐษกิจของสหรัฐตกต่ำลงเรื่อยๆ ไม่เฉพาะสหรัฐเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้ประเทศอื่นๆ อาทิเช่น อังกฤษ เยอรมัน หรือแม้กระทั้งประเทศไทยเองราคาหุ้นก็ตกต่ำลง แต่ในอีกทางหนึ่งคือ ราคาน้ำมันลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นผลดีกับประชากรที่ไม่ต้องรับภาระเรื่องราคาน้ำมันที่สูงเหมือนที่ผ่านมา

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ4 มกราคม 2552 เวลา 19:13

    นักลงทุนพากันขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง

    เป็นผลให้ราคาหุนตกต่ำอย่างน่าใจหาย

    ทั้งนี้เพราะเศรษฐกิจของโลกตกต่ำ

    เหล่านักลงทุนเลยไม่กล้าที่จะเสี่ยงลงทุนกัน

    ตอบลบ
  3. หากเรามองอีกแง่หนึ่ง การที่ราคาน้ำมันปรับลดลง และการเพิ่มการลงทุนหรือการขยายธุรกิจอื่นๆนั้นลดลง อาจเป็นผลดีก็เป็นได้ เนื่องจาก ผู้ผลิตที่ใช้วัตถุดิบ หรือทรัพยากรน้อย เช่น ธุรกิจทางการเกษตร สามารถลดต้นทุนในการผลิตลง เนื่องจากราคาน้ำมันลดลง และคู่แข่งจากการเพิ่มธุรกิจนั้น ก็ลดลงตามไปด้วย จึงทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น จากภาวะนี้

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ8 มกราคม 2552 เวลา 21:40

    สหรัฐเปิดให้เงินกู้นั้นจะส่งผลกระทบคือช่วยลดความฝืดเคืองของเศรฐษกิจได้ แต่อาจจะไม่สามารถช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นมากนัก หากยังยังมีความแปรปรวนเช่นนี้ นักลงทุนก็คงยังวิตกอยู่

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ12 มกราคม 2552 เวลา 19:52

    จากข่าว ทำให้เห็็นว่าเศรษฐกิจของสหรัฐ มีผลอย่างมากต่อตลาดหุ้นและระบบเศรษฐกิจโลก เพราะตราบใดที่เศรษฐกิจของสหรัฐยังไม่ดีขึ้น การลงทุนของนักลงทุนก็จะยังไม่เพิ่มขึ้นเท่าที่ควร ระบบเศรษฐกิจโลกก็ยังไม่ดำเนินไปตามที่ควร แต่ก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้างเนี่องจากเศรษฐกิจโลกย่ำแย่ ทำให้คนหันมาประหยัดมากขึ้น การใช้น้ำมันก็ลดลงเลยส่งผลให้ราคาน้ำมันลดลงด้วย การที่ราคาน้ำมันลดลงแบบนี้ ส่งผลดีต่อผู้ใช้น้ำมันในขณะนี้ เพราะเป็นการช่วยลดค่าครองชีพในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่ตอนนี้ แต่ก็คงจะอยู่ในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น

    ตอบลบ