วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2552

ผู้นำชาติสมาชิกเอเปก เชื่อมั่นว่าวิกฤติเศรษฐกิจโลกจะยุติก่อนปี 2553

การประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปกในกรุงลิมาของเปรูปิดฉากลงแล้วเมื่อวานนี้ โดยที่ประชุมได้ออกแถลงการณ์แสดงความเชื่อมั่นว่า วิกฤติเศรษฐกิจโลกจะยุติก่อนปี 2553 พร้อมทั้งให้คำมั่นจะดำเนินการอย่างเฉียบขาดและรวดเร็วเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจ โลกชะลอตัว แถลงการณ์ระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวเป็นหนึ่งในปัญหาท้าทายทางเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดเท่า ที่เคยเผชิญมา อีกทั้งเห็นว่า การค้าเสรีและการเพิ่มงบประมาณค่าใช้จ่ายในภาครัฐเป็นหลักการสำคัญที่จะใช้ แก้วิกฤติดังกล่าว ผู้นำเอเปกยังเห็นพ้องที่จะหามาตรการผ่าทางตันการประชุมการค้าโลกรอบโดฮา โดยระบุว่าจะส่งรัฐมนตรีไปที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในเดือนหน้า เพื่อหาทางฟื้นฟูกระบวนการเจรจาขึ้นอีกครั้ง ด้านประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ผู้นำสหรัฐ ได้ถือโอกาสนี้กล่าวอำลาผู้นำจากหลายประเทศ เนื่องจากการประชุมเอเปกเป็นเวทีสุดท้ายก่อนที่เขาจะก้าวลงจากตำแหน่งในวัน ที่ 20 มกราคมนี้.


จากกรมประชาสัมพันธ์ วัน จันทร์ ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 18:07 น.


บทวิเคราะห์ี้.....

...................จากที่ทั่วโลกทราบกันดีว่าปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัวนั้น ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างกับหลายประเทศอย่างรุนแรง ส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก และนี่นับเป็นข่าวดีต้อนรับปีใหม่ที่ทางที่ประชุมเอเปกได้ออกแถลงการณ์แสดงความเชื่อมั่นว่า วิกฤติเศรษฐกิจโลกจะยุติก่อนปี 2553 พร้อมทั้งให้คำมั่นจะดำเนินการอย่างเฉียบขาดและรวดเร็วเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และอีกประเด็นหนึ่งที่ทั้งโลกต้องจับตามองก็คือ ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐจะช่วยแก้ไขปััญหาวิกฤตของสหรัฐได้หรือไม่


วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2552

อินเทลพ่นข่าวร้าย

................ตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อวันพุธระส่ำระสาย เมื่อบริษัทอินเทล ผู้ผลิตชิพคอมพิวเตอร์รายใหญ่ประกาศว่า รายได้ในไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้วจะอยู่ที่ 8,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการคาดการณ์ที่ลดลงถึง 23% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปี 2007 และก่อนหน้านั้นในเดือนพฤศจิกายน อินเทลคาดว่ารายได้ในไตรมาสที่ 4 อยู่ระหว่าง 8,700-9,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

................การที่บริษัทอินเทลลดคาดการณ์รายได้เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐและทั่วโลก ทรุดตัว ทำให้ยอดการสั่งซื้อคอมพิวเตอร์ทั่วโลกลดลง ทั้งนี้ อินเทลออกรายงานคาดการณ์รายได้ก่อนที่บริษัทจะประกาศผลการดำเนินงานอย่าง เป็นทางการในวันที่ 15 มกราคมศกนี้ ด้านหุ้นของอินเทลลดลง 93 เซ็นต์ ปิดตลาดที่ 14.44 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น
................รายงานของอินเทลทำให้การซื้อขายหุ้นในส่วนที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีลดลง ปิดตลาดดัชนีหุ้นนาสแดคลดลง 53.32 จุด ปิดที่ 1,599.06 จุด ส่วนทางด้านดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดลง 245.40 จุด ปิดที่ 8,769.70 จุด และดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ลดลง 28.05 จุด ปิดที่ 906.65 จุด

................ด้านราคาน้ำมันดิบไลท์ในตลาดนิวยอร์กเมื่อวันพุธลดลง 12% หรือลดลง 5.95 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดตลาดที่ 42.63 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แต่ที่ตลาดสิงค์โปร์ การซื้อขายน้ำมันดิบไลท์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา น้ำมันดีดตัวสูง 41 เซ็นต์ ปิดตลาดที่ 43.04 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล การปรับตัวลดลงของน้ำมันดิบเนื่องจากมีรายงานคาดการณ์ว่าความต้องการปริมาณ น้ำมันในตลาดโลกจะทรุดหนักตามภาวะเศรษฐกิจ
นักวิเคราะห์บริษัทค้าน้ำมันในเอเชียกล่าวว่า แม้ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มในปัจจุบันเป็นผลมาจากเหตุขัดแย้งในฉนวนกาซาและ สถานการณ์ที่ไนจีเรีย รวมไปถึงปัญหาความขัดแย้งเรื่องก๊าซระหว่างรัสเซียกับยูเครน แต่ก็ยังไม่อาจทำให้ปริมาณความต้องการน้ำมันเพิ่มขึ้นได้ โดยเห็นได้จากปริมาณน้ำมันสำรองในสหรัฐที่เพิ่มขึ้น


จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ สุขสัปดาห์ ปีที่ 10 ฉบับที่ 2456 ประจำวัน ศุกร์ ที่ 9 มกราคม 2009



บทวิเคราะห์

..............อินเทลเป็นบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของโลก ที่โดนพิษเศรษฐกิจเล่นงานไม่น้อยไปกว่าบริษัทอื่นๆ โดนที่มียอดรายได้ลดลง เลยส่งผลให้ดัชนีหุ้นลดลงตามไปด้วย เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐและทั่วโลก ทรุดตัว ทำให้ยอดการสั่งซื้อคอมพิวเตอร์ทั่วโลกลดลง และส่งผลให้ราคาและความต้องการน้ำมันของทั่งโลกลดลงอย่างต่อเนี่อง

วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2552

ราคาน้ำมันเอเชียดิ่งหลุด 39 ดอลลาร์

ราคาน้ำมันโลกในตลาดสิงคโปร์ ดิ่งลงไปแตะต่ำกว่าระดับ 39 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเมื่อวันพุธ เนื่องจากนักลงทุนยังผวาภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ซึ่งฉุดให้ราคาน้ำมันดิบร่วงลงแล้วประมาณร้อยละ 60 ในปีนี้ โดยราคาน้ำมันไลท์ สวีต ในตลาดนิวยอร์ก งวดส่งมอบเดือน ก.พ. ลดลง 70 เซ็น อยู่ที่ 38.33 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ในตลาดลอนดอน งวดส่งมอบเดือน ก.พ.ลดลง 77 เซ็น อยู่ที่ 39.38 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันโลกทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 147.27 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีสาเหตุมาจากกระแสการคาดการณ์ว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เช่นจีนและอินเดียจะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นความต้องการน้ำมันดิบด้วย

อย่างไรก็ตาม อารมณ์ความรู้สึกของนักลงทุน แปรเปลี่ยนเป็นตรงกันข้ามในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2551 เพราะ วิกฤติสินเชื่อในสหรัฐทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภค และการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมดิ่งลงทั่วโลก

ส่วนในสัปดาห์นี้ มีความหวาดกลัวกันว่า ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มหัวรุนแรงฮามาสในฉนวนกาซา อาจเพิ่มความตึงเครียดในตะวันออกกลาง แหล่งน้ำมันโลก ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น หลังจากที่ดิ่งลงในระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 5 ปี อยู่ที่ 33.87 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อต้นเดือนที่แล้ว ขณะที่ในปีนี้ นักลงทุนยังคงพุ่งเป้าไปที่สัญญาณของความต้องการน้ำมันดิบหดตัว เพราะสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น ต่างเผชิญหน้ากับภาวะเศรษฐกิจถดถอย และประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ต่างก็ดิ้นรน ต่อสู้กับอัตราการเติบโตที่ชะลอตัว.


ข่าวจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 2 มกราคม 2552



บทวิเคราะห์.....

..............ผลจากภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกร่วงลงมาประมาณร้อยละ 60 ในปีนี้ ถึงแม้ว่า จะเคยขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เพราะคาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เช่นจีนและอินเดียจะเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นการกระตุ้นความต้องการน้ำมันดิบด้วย แต่ด้วยด้วยวิกฤติสินเชื่อในสหรัฐทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคต้องเป็นไปอย่างติดขัด อีกทั้งประเทศอุตสาหกรรมหลักก็ต้องเผชิญกับพิษเศรษฐกิจเช่นกัน ความต้องการน้ำมันจึงลดลงอย่างต่อเนื่อง

วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เศรษฐกิจฉุดหุ้น

รายงานเศรษฐกิจของสหรัฐเปิดเผยเมื่อวันอังคารชี้ให้ เห็นถึงความตกต่ำของเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 3 ส่งผลให้นักลงทุนพากันเทขายหุ้นกลุ่มบลูชิพอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวลดลง 100.28 จุด หรือลดลง 1.18% มาอยู่ที่ 8,419.49 จุด

ส่วนดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ลดลง 8.47 จุด หรือ 0.97% ปิดตลาดที่ 863.16 จุด ส่วนดัชนีหุ้นนาสแดคลดลง 10.81 จุด หรือ 0.71% มาอยู่ที่ 1,521.54 จุด

บริษัทให้บริการเครดิตการ์ดรายใหญ่คือ บริษัทอเมริกัน เอ็กซ์เพรส และบริษัท CIT ซึ่งเป็นธุรกิจการเงิน ประกาศว่าได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐเป็นเงินกู้จำนวนหนึ่ง จากงบ ประมาณ 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่รัฐบาลออกมาช่วยสถาบันการเงิน แต่การประกาศของ 2 บริษัทไม่ทำให้สถานการณ์การซื้อขายหุ้นของทั้ง 2 บริษัทดีขึ้น จนปิดตลาดหุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรสลดลง 46 เซ็นต์ มาอยู่ที่ 17.96 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น แต่หุ้นของ CIT เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 8 เซ็นต์ มาอยู่ที่ 4.26 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น

มีการรวมกิจการของธุรกิจการเงินคือ พีเอ็นซี ไฟแนนเชียล เซอร์วิส กรุ๊ป กับ เนชั่นแนล ซิตี้ คอร์ป ในเวลาเดียวกันเวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โค ได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นให้รวมกิจการกับวาโชเวีย คอร์ป มูลค่า 11,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ข่าวดังกล่าวทำให้หุ้นของพีเอ็นซีเพิ่มขึ้น 33 เซ็นต์ มาอยู่ที่ 43.01 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น ส่วนหุ้นของเนชั่นแนล ซิตี้เพิ่มขึ้น 4 เซ็นต์ มีราคาอยู่ที่ 1.65 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น หุ้นของเวลส์ ฟาร์โกลดลง 43 เซ็นต์ ปิดตลาดที่ 26.99 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น และวาโชเวียหุ้นลดลง 15 เซ็นต์ ปิดตลาดที่ 5.30 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น

ราคาน้ำมันลดลงอีกครั้ง เนื่องจากตลาดหวั่นว่าภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยในทุก ภูมิภาคจะทำให้ความต้องการน้ำมันทั่วโลกลดลง ปิดตลาดเมื่อวันอังคารน้ำมันดิบไลท์ลดลง 93 เซ็นต์ มีราคาอยู่ที่ 38.98 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล


จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ ปีที่ 10 ฉบับที่ 2447 ประจำวัน พฤหัสบดี ที่ 25 ธันวาคม 2008



บทวิเคราะห์.....

.............จากข่าวทำให้เห็นว่า วิกฤตเศรษฐกิจมีผลกระทบมาต่อตลาดหุ้น สังเกตได้จากดัชนีหุ้นของบริษัทต่างๆ ส่วนใหญ่พากันร่วงลงอย่างถ้วนหน้า บางบริษัทถึงขึ้นต้องรวมกิจการเพื่อความอยู่รอด และยังส่งผลถึงราคาน้ำมันที่จำเป็นต้องลดลงตามไปด้วย เนื่องจากเกรงว่าความต้องการน้ำมันของประเทศต่างๆจะลดลง ตามกระแสภาวะเศรษฐกิจ แต่ก็เป็นผลดีกับผู้ใช้น้ำมัน ที่ไม่ต้องแบกรับภาระค่าน้ำมันที่สูงลิบลิ่ว ในช่วยที่ภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองเช่นนี้ อีกทั้งยังชี้ให้เห็นว่า นักลงทุนยังไม่ค่อยให้ความเชื่อมั่นกับเศรษฐกิจของสหรัฐมากนัก เพราะแม้ว่ารัฐบาลสหรัฐจะให้ความช่วยเหลือสถาบันการเงิน 2 แห่ง ด้วยการให้เงินกู้จำนวนหนึ่ง จากงบประมาณ 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็ยังไม่สามารถทำให้ สถานการณ์การซื้อขายหุ้นของสถาบันการเงินทั้ง 2 แห่งดีขึ้นได้


วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551

พาณิชย์เพิ่มตัวเลขส่งออก 3 พันล.ดอลลาร์

พาณิชย์ปรับเพิ่มตัวเลขส่งออก 10 เดือนรวมเพิ่มกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ อธิบดีกรมส่งออกแจงมาจากการอัพเดทข้อมูลใหม่ของกรมศุลกากร รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่ากระทรวงได้ตรวจสอบความผิดปกติในการจัดทำตัวเลขการส่งออก โดยได้ปรับตัวเลขเพิ่มขึ้นจากยอดส่งออกเดิมประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตัวเลขที่เพิ่มขึ้นนี้ถูกนำไปเพิ่มไว้ในยอดการส่งออกของเดือนต่างๆ ตั้งแต่มกราคม-กันยายน ทำให้ยอดส่งออกสินค้าไทยเพิ่มขึ้นทั้งในแง่มูลค่าและอัตราการขยายตัวจนผิดสังเกต
ทั้งนี้ ในการแถลงตัวเลขการส่งออกเมื่อเดือนตุลาคม 2551 มีการสรุปยอดส่งออกรวม 10 เดือน มูลค่า 151,192.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 21.68% แต่การส่งออกในเดือนพฤศจิกายน 2551 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม ปรากฏว่าตัวเลขรวมการส่งออก มียอดเพิ่มขึ้นเป็น 154,366.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 24.23% หรือมีตัวเลขส่งออกเพิ่มขึ้น 3,174.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ขณะเดียวกันยังมีการปรับตัวเลขการนำเข้า โดยลดมูลค่าการนำเข้าจากตัวเลขนำเข้ารวม 10 เดือน มีมูลค่า 154,493.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ตัวเลขนำเข้าที่ปรับใหม่มีมูลค่า 154,325.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นยอดนำเข้าที่หายไป 167.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผลที่เกิดขึ้นทำให้ดุลการค้ารวมช่วง 10 เดือน จากเดิมที่ขาดดุลสูงถึง 3,301.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กลับกลายเป็นเกินดุลการค้า 40.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวว่า กรมนำข้อมูลการส่งออกสินค้าจากกรมศุลกากรทุกเดือนมาประมวลเป็นสถิติการส่งออกตามหมวดสินค้า ไม่สามารถปรับแต่งตัวเลขได้ แต่ความคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้น เกิดจากกรมศุลกากรได้อัพเดทข้อมูลของปีนี้เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการอัพเดทข้อมูลตามที่กรมศุลกากรจะเห็นสมควร ทำให้ตัวเลขส่งออกคลาดเคลื่อน


"ยอมรับว่าที่ผ่านมาการอัพเดทข้อมูลจะคลาดเคลื่อนเพียง 100-1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ปีนี้คลาดเคลื่อนถึง 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเห็นก็ตกใจเพราะคลาดเคลื่อนมาก ผมก็ผิดสังเกต และถามไป ได้คำตอบว่า กรมศุลกากรใช้ระบบ อีดีไอ ที่ให้หน่วยงานที่ได้รับอนุญาต คีย์ข้อมูลการส่งออกสินค้าเข้ามา ซึ่งหลายหน่วยงานอาจคีย์เข้ามาช้าเร็วต่างกัน ก็กำหนดอัพเดทแต่ละช่วงเวลา ซึ่งปีนี้ อัพเดท 9 เดือน แต่ยืนยันไปปรับแต่งตัวเลขไม่ได้และไม่คิดทำ” นายราเชนทร์กล่าว



บทวิเคราะห์

การที่ข่าวได้รับว่ามีการเพิ่มขึ้นของการเสียดุลการค่าเป็นข่าวที่ค่อนข้างไม่ดีสำหรับประชาชนเพราะการที่ประเทศเกิดการขาดดุลแสดงเม็ดเงินที่จะทำการใช้จ่ายภายในประเทศนั้นยิ่งลดลง เสมือนกับว่า เศรฐกิจของประเทศได้เกิดการขาดกำไรที่จะนำมาพัฒนาประเทศ ซึ่งจากการกล่วข้างต้นนี้ เป็นผลลเสียอย่างยิ่งต่อประชาชน...

ข่าวจาก คมชัดลึก

วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551

“โตโยต้า” ยอมรับปีนี้จะขาดทุน นับเป็นครั้งแรกในประวัติบริษัท

เอเอฟพี - โตโยโต้ มอเตอร์ คอร์ป แถลงวันจันทร์ (22) คาดหมายว่า ปีนี้บริษัทจะต้องประสบภาวะขาดทุนจากการดำเนินงานเป็นครั้งแรกในประวัติ ศาสตร์ของบริษัท อันเนื่องมาจากวิกฤตเศรษฐกิจส่งผลต่อตลาดรถยนต์ของโลกอย่างรุนแรง และกำลังลดการผลิตและการลงทุนลงมา เนื่องจากยอดขายที่ลดลงทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ รวมทั้งค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นมากเมื่อเทียบกับเงินสำคัญหลายๆ สกุล ทำให้เมื่อแปลงรายได้สกุลเงินอื่นๆ มาเป็นเยน เพื่อลงในบัญชี รายได้รวมของโตโยต้าก็ต้องหดหายไปมาก ถือเป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่า อุตสาหกรรมรถยนต์ของโลกกำลังจมถลำลงสู่วิกฤตอันร้ายแรงขึ้นทุกขณะ โดยที่ได้ทำเอาเจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) ยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่ง และ ไครสเลอร์ บริษัทเล็กที่สุดในบรรดา “บิ๊กทรีแห่งดีทรอยต์” ของสหรัฐฯ เกือบต้องเผชิญกับภาวะล้มละลายอยู่แล้ว


....................ความต้องการซื้อรถยนต์ที่ดิ่งเหวในสหรัฐฯจากการที่วิกฤตการเงินได้ ฉุดลากเอาเศรษฐกิจโดยรวมลงให้ถดถอยลงไปด้วย และก็เป็นเหตุให้ทำเนียบขาวต้องออกมาประกาศให้เงินกู้ฉุกเฉินแก่ จีเอ็ม และ ไครสเลอร์ เพื่อให้ไม่ล้มครืนมาลงมา
แสดงให้เห็นว่า วิกฤตเศรษฐกิจโลกนั้นกระทบต่อตลาดรถยนต์ทุกแห่งอย่างรุนแรง ไม่ใช่แต่บรรดาบิ๊กทรีในดีทรอยท์เท่านั้นที่มีปัญหา

เหมือนเป็นสัญลักษณ์ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นย่ำแย่อย่างหนัก เพราะว่าโตโยต้านั้น ก็เหมือนกับตัวแทนของญี่ปุ่น และไม่เพียงแต่โตโยต้าเท่านั้นผู้ผลิตรถยนต์ทั้งหลายก็ต้องดิ้นรน เพื่อความอยู่รอดท่ามกลางภาวะตลาดที่ยากลำบากสุดแสน


....................ในปีนี้ โตโยต้า คาดว่า ยอดขายทั่วโลกจะอยู่ที่ 21.5 ล้านล้านเยน ลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าที่ 23 ล้านล้านเยน บริษัทคาดว่าจะขายรถยนต์ได้ 8,960,000 คัน ในปีนี้ลดลงจากปีก่อน 4%

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 ธันวาคม 2551 21:40 น.


บทวิเคราะห์

....................จแม้กระทั่งบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างโตโยต้า ออกมาแถลงความเสียหายที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบ 70 ปีที่ผ่านมานี้ แสดงให้เห็นว่า วิกฤษเศรษฐกิจครั้งนี้ มีความรุณแรงเป็นอย่างมาก อาจจะเทียบเท่ากับครั้งที่เกิด ภาวะสงครามเลยก็ว่าได้
ถึงคราวที่นักลงทุนและนักธุรกิจต้องงัดกลเม็ด ต่างๆนานา ดึงเอาความรู้ที่มีทั้งหมดออกมา แก้ไขปัญหา
วิกฤษเศรษฐกิจครั้งนี้ งานนี้จะได้รู้ไปเลยว่า ใครเก่งจริง ใครแก้ไขปัญหาได้เก่ง

จากนี้ก็ได้แต่ภาวนา ว่าเศรษฐกิจของโลกนั้นจะดีขึ้นเรื่อย ขอให้อย่าย่ำแย่ลงไปกว่านี้เลย ถ้าไม่เช่นนั้น
บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างโตโยต้าหรือบริษัทอื่นๆ อาจจะกลายเป็นเพียงแค่ประวัติศาสตร์หน้าหนึ่ง ของวงการเศรษฐกิจโลก พร้อมกันนั้นจะทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้นอย่างน่ากลัว

วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ดอลลาร์อ่อนแรง

การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารกลางสหรัฐส่ง ผลดีต่อตลาดหุ้น แต่ส่งผลเสียต่อการซื้อขายเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยที่ตลาดเอเชียเมื่อวันพุธเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าต่ำสุดในรอบสองเดือน เมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร เพราะการลดดอกเบี้ยแสดงถึงความอ่อนแอของเศรษฐกิจสหรัฐ ดังนั้น นักลงทุนจึงพากันไปซื้อสินทรัพย์ในรูปของเงินสกุลอื่นๆ

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐซื้อขายแลกเปลี่ยนที่ 1.4067 ดอลลาร์สหรัฐต่อยูโร เทียบกับค่าเงินเมื่อวันอังคารอยู่ที่ 1.4002 ดอลลาร์สหรัฐต่อยูโร นับว่าอ่อนค่าต่ำสุดมาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ส่วนเงินดอลลาร์สหรัฐเทียบกับเงินเยนของญี่ปุ่นอยู่ที่ 89.01 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าต่ำสุดอยู่ที่ 88.53 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ

ส่วนเงินเยนเทียบกับเงินยูโรอยู่ที่ 125.34 เยนต่อยูโร จากเมื่อวันก่อนอยู่ที่ 124.71 เยนต่อยูโร ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าเงินดอลลาร์สหรัฐเทียบกับเงินเยนจะเทรดในระดับต่ำสุดที่ 85 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ

เวลานี้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง 12% เมื่อเทียบกับเงินยูโร จากที่เคยทำสถิติซื้อขายสูงสุดอยู่ที่ 1.2330 ดอลลาร์สหรัฐต่อยูโร เมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา และอ่อนค่าลงถึง 20% เมื่อเทียบกับเงินเยนภายในปีนี้ ขณะเดียวกันความเคลื่อนไหวของค่าเงินปอนด์อังกฤษ มีการซื้อขายเมื่อวันพุธที่ 90.18 เพนซ์ต่อยูโร เทียบกับเมื่อวันอังคารอยู่ที่ 89.94 เพนซ์ตอยูโร

การที่ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงอีกครั้งเพราะนักลงทุนในตลาดการเงินเชื่อมั่น ว่าธนาคารกลางอังกฤษที่กำลังจะประชุมภายในเดือนนี้จะลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ลงไปอยู่ที่ระดับ 2.00% เป็นการปรับลดตามสหรัฐ

มีแนวโน้มว่าหากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าในระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับเงิน เยนและยูโรจะทำให้ธนาคารในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม 7 ชาติหรือจี-7 ยอมให้ธนาคารแต่ละประเทศเข้าแทรกแซงการซื้อขายค่าเงินเหมือนที่เกิดขึ้นในปี 1995 เมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าต่ำสุดอยู่ที่ 79.75 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ


จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้



บทวิเคราะห์.....

จากการที่ค่าเงินดอลลาห์สหรัฐอ่อนค่าลง แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ซึ่งค่าเงินดอลลาห์สหรัฐมีแนวโน้มที่จะลดลงอีกเรื่อยๆ ทำให้ไม่มีใครอยากถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐไว้มากนัก ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินปอนด์อังกฤษอ่อนตามลงไปด้วยเพราะ นักลงทุนในตลาดการเงินเชื่อมั่นว่าธนาคารกลางอังกฤษ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงตามสหรัฐ ดังนั้นนักลงทุนจึงหันไปถือเงินยุโรปและทองคำมากขึ้น ทำให้เงินยุโรปแข็งค่าขึ้น ราคาทองคำสูงขึ้น และทำให้ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าที่สุดในรอบ 9 ปีอีกด้วย